วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เคล็ดไม่ลับ 10 ข้อที่นักลงทุนไทยควรรู้เกี่ยวกับเมียนมาร์

หลังจากนโยบายรัฐบาลที่เริ่มผ่อนปรนและเปิดประตูทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา "เมียนมาร์" เริ่มก้าวสู่ความเป็นประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มาแรงที่สุดของภูมิภาคอาเซียน ด้วยทำเลที่ตั้งอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกัน เชื่อมตลาดบริโภคขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 2,700 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลก รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันแน่นแฟ้นและการค้าชายแดนที่มีมาช้านาน นักลงทุนไทยจึงมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันและไม่ควรมองข้ามโอกาสทางธุรกิจในตลาดใหม่ที่สำคัญแห่งนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดสัมมนา "SCB FIRST เปิดโลก AEC เจาะลึกเมียนมาร์ 360°" เพื่อมอบเอกสิทธิ์ในการเปิดประสบการณ์ใหม่ด้านความรู้เชิงธุรกิจให้สมาชิก SCB FIRST กว่า 500 ท่าน ตามแนวคิด YOU ARE FIRST TO LEARN โดยระดมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ รู้ลึกรู้จริงทั้งจากประเทศไทยและเมียนมาร์ รวมทั้งนักธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จในตลาดเมียนมาร์ ครอบคลุมทุกแง่มุมที่นักธุรกิจและนักลงทุนควรรู้เพื่อเตรียมความพร้อมมุ่งสู่ตลาดเศรษฐกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูงแห่งอาเซียนอย่างแข็งแกร่ง
 
จากการสัมมนาครั้งนี้ เราได้นำข้อมูลสาระประโยชน์มาสรุปเป็นเคล็ดลับที่นักลงทุนไทยควรรู้เกี่ยวกับเมียนมาร์ได้ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้
• ผู้บริโภคเมียนมาร์มีความความนิยมและความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าและบริการจากประเทศไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่ผู้ประกอบการไทยจะสร้างแบรนด์ในตลาดเมียนมาร์จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากอย่างที่คิด
• ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการสูงสุดของตลาดเมียนมาร์ 3 อันดับแรกในขณะนี้คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่, รถยนต์ และ จักรยานยนต์
• ในการเปิดประเทศพัฒนาเศรษฐกิจ เมียนมาร์มีนโยบายมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการเงินหรือความมั่งคั่งเท่านั้น
• รัฐบาลเมียนมาร์ยังไม่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติตั้งบริษัทเพื่อประกอบกิจการค้าในเมียนมาร์ แต่ผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินการค้ากับพม่าได้โดยใช้นิติบุคคลในไทยทำการค้ากับผู้ประกอบการในพม่าได้ในลักษณะของการนำเข้า-ส่งออก เหมือนที่ดำเนินธุรกิจกับประเทศอื่นๆ
• ในการเข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างพันธมิตรกับผู้ประกอบการท้องถิ่น เพราะเท่ากับไม่ต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ และรู้จักนำประสบการณ์จากการทำธุรกิจในไทยไปผสานกับแนวทางการทำธุรกิจแบบชาวเมียนมาร์
• ด้านเงินทุนในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการท้องถิ่นในเมียนมาร์จะใช้ทุนของตนเอง หรือระดมทุนในเครือข่ายพันธมิตร ไม่นิยมการกู้ธนาคาร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารในเมียนมาร์สูงมาก ผู้ประกอบการไทยจึงควรทำในลักษณะเดียวกัน สำหรับเรื่องธุรกรรมทางการเงินนั้น แนะนำว่าควรให้ธนาคารไทยที่เป็นระดับนานาชาติ อย่างไทยพาณิชย์ เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการโอนเงินฝากเงินในการทำการค้าต่างแดนให้เป็นระบบ เพราะต้องยอมรับว่าธนาคารท้องถิ่นในประเทศเพื่อนบ้านยังมีปัญหาเรื่องระบบฝากถอนและการเช็คยอดเงินคงเหลือ
• ประเภทกิจการที่เมียนมาร์ห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติทำมีทั้งสิ้น 21 กิจการ ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ กิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขอนามัยของประชาชนรวมถึงทรัพยากรที่เป็นผลประโยชน์หลักของชาติ
• สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนในเมียนมาร์มีมากมาย อาทิเช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ จากการนำผลกำไรกลับไปลงทุนใหม่ภายในระยะเวลา 1 ปี ธุรกิจส่งออกได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้ 50% ของผลกำไร เป็นต้น
• สำหรับชาวต่างชาติ การเข้าไปถือครองที่ดินมี 2 ประเภท คือ การถือครองที่ดินกรณีไม่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งในประเภทนี้ชาวต่างชาติไม่ได้รับอนุญาตให้ถือครองที่ดิน โดยทำได้เพียงสามารถเช่าที่ดินได้โดยมีระยะเวลาของสัญญาเช่าไม่เกิน 1 ปี ส่วนในกรณีการถือครองที่ดินในกรณีได้รับการส่งเสริม รัฐอนุญาตให้นิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนจาก MIC สามารถเช่าที่ดินได้โดยมีระยะเวลาของสัญญาไม่เกิน 50 ปี และสามารถต่อสัญญาได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้จากทาง BOI http://toi.boi.go.th
• ปัจจุบันเมียนมาร์ยังมีการกำหนดสัดส่วนอัตราการจ้างแรงงานฝีมือท้องถิ่น โดยใน 2 ปีแรกนับตั้งแต่ดำเนินการ ต้องจ้างแรงงงานชาวเมียนมาร์ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 25 ปีที่ 3-4 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และปีที่ 5-6 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ที่สำคัญอย่ากดขี่ หรือปฏิบัติไม่ดีกับแรงงานชาวเมียนมาร์ เพราะ แม้ค่าแรงคนงานเมียนมาร์จะยังต่ำ แต่หลังเปลี่ยนแปลงการบริหารจากกองทัพ เป็นรัฐบาลพลเรือนหลังการเลือกตั้งแล้ว มีปัญหาเรื่องข้อเรียกร้องจากแรงงานสูงกว่าในอดีต
ติดตามข้อมูลความรู้แบบ 360 องศา ครอบคลุมทุกแง่มุมที่นักธุรกิจและนักลงทุนควรรู้เพื่อเตรียมความพร้อมมุ่งสู่ตลาดเศรษฐกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูงแห่งอาเซียนจากงาน สัมมนา "SCB FIRST เปิดโลก AEC เจาะลึกเมียนมาร์ 360°" ได้ทาง http://www.scb.co.th/scbfirst/aec

Credit : http://money.sanook.com/

วิถี “เกษตรกรคนรุ่นใหม่” ขายผักขำๆ กำไรเดือนละ 2 แสน

หากถามถึงอาชีพในฝันของ “คนรุ่นใหม่” ในศตวรรษที่ 21...หนุ่มสาวหลายคนคงนึกไปถึงภาพตัวเองใส่สูทผูกไท แต่งตัวสวยไฮไซ ทำงานสะดวกสบายในออฟฟิศติดแอร์เย็นฉ่ำ แต่ทว่าในมุมกลับ กลับเห็นภาพคนหนุ่มสาวทิ้งสังคมเมืองหันไปใช้วิถีชีวิต “เกษตรกร” ทำไมหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งจึงเลือกมอง “ต่าง”
มีเรื่องราวน่าสนใจจากวงสนทนาของเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มองเห็นคุณค่าและความหมายลึกๆ ซ่อนอยู่ในอาชีพเกษตรกรรม ที่พวกเขาแวะเวียนมาเจอกันในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เครือข่ายเกษตรกรกล้าใหม่” ที่ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อเร็วๆ นี้
“ผมมีรายได้จากการขายผักสลัดให้กับร้านสเต๊ก หักค่าใช้จ่ายแล้ว กำไรเดือนละ 2 แสนบาท ในจำนวนนี้ไม่รวมเงินเดือนที่ผมจะกันไว้เป็นค่าตอบแทนให้ตัวเอง เดือนละ 2 หมื่นบาท”  โจ้-จิรายุทธ ภูวพูนผล อายุ 25 ปี เจ้าของสวนผักและร้านสเต๊ก “โอ้กะจู๋” อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวและยิ้มอย่างมีความสุข
ด้วยต้นทุนเดิมที่สนใจการปลูกผัก และต้นทุนใหม่คือความรู้ที่เรียนจบมาโดยตรงในด้านการเกษตรที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้ โจ้ รู้จุดอ่อนของเกษตรกรรุ่นเก่า คือการหาช่องทางการตลาดและจัดจำหน่าย คุณโจ้และเพื่อนจึงร่วมหุ้นกันเปลี่ยนลานจอดรถ ขนาด 2 ไร่ ให้เป็นสวนผัก และเปิดร้านอาหารติดกัน โดยใช้ผักที่ปลูกเองเป็นวัตถุดิบ
เมื่อผนวกสายตาของคนรุ่นใหม่เข้ากับเรื่องการตลาด คุณโจ้ยังใช้สื่อใหม่อย่างโซเชี่ยลมีเดียFacebook.com เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักสวนผักและร้านสเต๊กโอ้กะจู๋มากยิ่งขึ้น ภาพผักสลัดสดใหม่และภาพอาหารหน้าตาน่ารับประทานที่โพสต์ขึ้นสังคมออนไลน์อยู่ไม่ขาด ก็ส่งผลให้มีแฟนเพจแวะเวียนมาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การตกแต่งหน้าร้านให้มีจุดถ่ายภาพและชมวิวแปลงผักระหว่างรับประทาน ก็ยิ่งทำให้ร้านมีเอกลักษณ์โดดเด่น การันตี “ปลูกได้และขายเป็น”     
อีกหนึ่งตัวอย่าง เกษตรกรรุ่นใหม่เป็นหนุ่มน้อยจาก อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร เก้า-ธีรพงษ์ สุขสวรรค์บัณฑิตหนุ่มวัยเบญจเพส จบจากสาขาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 
เก้า เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นชาวนา ซึ่งทั้งคู่ก็คาดหวังให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำงาน “นั่งโต๊ะ” มากกว่าจะลงนาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ
"แต่แล้วชีวิตก็เกิดจุดเปลี่ยน  ผมเกือบถูกงูพิษกัดตาย  ผมเลยได้คิดว่า ชีวิตคนเรามันสั้นเท่านี้เองนะ   ถ้าเราอยากจะทำอะไรก็ให้ทำซะเลย  สิ่งที่คิดได้ในเวลานั้นคือ การเกษตร ซึ่งวนเวียนอยู่ในหัวผมมาตั้งแต่เด็ก เพราะเราอยู่กับเขามาตลอด ผมรู้ว่าถ้าผมอยู่กับสิ่งนี้แล้วผมจะมีความสุข”
ปัจจุบัน คุณเก้าได้พิสูจน์ตัวเองจนพ่อแม่ยอมรับและไว้วางใจให้ดูแลแปลงปลูกข้าวของครอบครัวอย่างครบวงจร รวมพื้นที่ราว 100 ไร่ และปรับเปลี่ยนวิถีการปลูกจากใช้สารเคมีมาเป็นการปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ ส่วนหนึ่งเพื่อปกป้องสุขภาพของคนในครอบครัว 
ขณะที่การปลูกพืชวิธีนี้ยังช่วยลดต้นทุน และผลผลิตที่ได้เป็นที่ต้องการของตลาด คุณเก้าบอกด้วยว่า เขากำลังมีแผนสร้างเตาอบข้าวเปลือก ขนาด 30 ตัน ไว้รองรับผลผลิตในฤดูเก็บเกี่ยว โดยนำความรู้ที่เรียนมาในสาขาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์มาปรับใช้ 
เป็น 2 ตัวอย่างจาก 2 เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เลือกวิถีทางเดินของตัวเองได้อย่างน่าสนใจ
เป็นเพียงก้าวเล็กๆ ของเกษตรกร “คนรุ่นใหม่” ที่เอาใจช่วยและสนับสนุน ให้บรรดา “คนรุ่นใหม่” กลุ่มนี้เติบโตขึ้นอย่างยั่งยืน 

ที่มา : นิตยสาร เทคโนโลยีชาวบ้าน
Credit : http://money.sanook.com/

ธุรกิจ “ปลาร้าก้อน-จิ้งหรีดผง“ เทรนด์มาแรงเข้ากระแสโลก

ปลาร้านั้นมีมูลค่าทางการตลาดก้อนโต ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ประกอบการจะเดินหน้าต่ออย่างไม่ลังเล
พูดถึง "ปลาร้า" หลายคนอาจจะคิดไม่ถึงว่ามีมูลค่าทางการตลาดก้อนโตทีเดียว เพราะใช่แต่จะบริโภคกันในประเทศเท่านั้น ยังส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะในประเทศที่มีคนเอเชียอยู่เยอะอย่างสหรัฐอเมริกา หรือออสเตรเลีย
ผศ.ดร.สมสมร แก้วบริสุทธิ์ ภาควิชาประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลาร้า จะมาเล่าให้ฟังว่า ปลาร้านั้นพัฒนาไปไกลแค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมามีการทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง
ปลาร้าดิบส่งออกยาก
ปลาร้า...บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องวิจัยพัฒนากันด้วยหรือ

ประเด็นนี้ ผศ.ดร.สมสมร แจกแจงว่า มข. ทำวิจัยปลาร้าก้อน ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อดันให้เป็นสินค้าส่งออก เนื่องจากปลาร้ามีในท้องถิ่นของทางอีสาน เพื่อพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบที่เดินทางได้สะดวก ใช้ได้ง่าย เหมาะสำหรับชีวิตคนรุ่นใหม่ แล้วก็มีน้ำหนักเบา ขนส่งง่าย ไม่เสียค่าระวางตอนขนส่งไปต่างประเทศ ในแง่ของการส่งไปต่างประเทศจะมีประเด็นปัญหาตรงที่เวลาส่งไปเป็นปลาดิบ ส่วนมากคุณภาพตรวจเชื้อจะไม่ผ่าน แล้วโรงงานที่มีเครื่องหมาย GMP, HACCP ส่งของไปต่างประเทศได้ก็มีจำนวนน้อย ด้วยปัญหาที่ว่าปลาร้าดิบจึงส่งออกยากโดยปริยาย
ดังนั้น จึงต้องทำให้อยู่ในสภาพที่สุก ซึ่งจะปราศจากพยาธิใบไม้ในตับ และมีน้ำหนักเบา สามารถนำไปแกงได้ทันทีและได้หลายชนิด เช่น ถ้าจะทำส้มตำก็เอาปลาร้าก้อนละลายน้ำสักหน่อยใส่ส้มตำได้แล้ว แต่ถ้าจะแกงก็ใส่หม้อแกงได้เลย มีทั้งรูปแบบที่เป็นครีมคล้ายกับกะปิ แต่เป็นกลิ่นของปลาร้า มีทั้งแบบเป็นผง เป็นก้อนที่พร้อมแกง
อย่างที่เกริ่นแต่แรก ปลาร้านั้นมีมูลค่าทางการตลาดก้อนโต ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ประกอบการจะเดินหน้าต่ออย่างไม่ลังเล

"มีบริษัทนำไปทำในเชิงแล้ว ชื่อ เพชรดำค้าปลาร้า ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตปลาร้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เพราะทุกครั้งที่ มข. ทำวิจัยเสร็จจะมีการอบรม ที่ขอนแก่น 1 ครั้ง กาฬสินธุ์ 1 ครั้ง ซึ่งมีผู้ประกอบการมาเห็นเทคโนโลยีก็สนใจ หลังจากนั้นติดต่อมาที่เรา เริ่มแรกเราสอนในเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นเขานำไปต่อยอดในสูตรของเขา ทำตลาด ทำเว็บไซต์ ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี เป็นงานวิจัยที่ใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์"
ปัจจุบัน บริษัทเพชรดำค้าปลาร้า มีการก่อสร้างโรงงานเพื่อให้ผ่านการรับรอง GMP ซึ่งจะทำให้มีโอกาสทางด้านการตลาดมากขึ้น และนอกจากจะทำปลาร้าก้อนแล้ว ยังทำปลาร้าผงอีกด้วย ซึ่งก็ผลิตไม่ทันขาย เพราะมีลูกค้าบางคนสั่งปลาร้าก้อนเป็นพันก้อนๆ เพื่อนำไปส่งขายในต่างประเทศ ขณะที่บางช่วงมีปัญหาด้านการผลิตเนื่องจากขาดแคลนแรงงาน
อย่างไรก็ตาม หากโรงงานสร้างเสร็จ มีเครื่องจักรพร้อมก็จะสามารถผลิตในปริมาณเยอะขึ้นได้ ทั้งไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมากด้วย
เปิดกว้างขอโนว์ฮาวจาก มข.
ฟังผศ.ดร.สมสมรพูดจบ เลยต้องถามต่อว่า ถ้าผู้ประกอบการรายอื่นๆสนใจจะไปทำธุรกิจปลาร้าก้อนแบบนี้บ้างได้หรือไม่ และจะต้องไปดำเนินการขออนุญาตขอใช้โนว์ฮาวอย่างไร
"ได้ค่ะ เพราะเราไม่ได้จดลิขสิทธิ์ เพื่อให้แต่ละท่านได้รับเทคโนโลยีแล้วเอาไปต่อยอดเอง แต่ขออย่างเดียวว่า ระบุมาจาก มข. เพราะเราทำงานวิจัยเพื่อลงสู่ชุมชน เป็นการพัฒนาท้องถิ่น ผู้ประกอบการปลาร้าส่วนใหญ่จะเป็นรายย่อย โรงงานขนาดเล็ก ซึ่งไม่สามารถจะใช้เทคโนโลยีราคาแพงๆ ได้"
ผศ.ดร.สมสมร บอกด้วยว่า อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจคือน้ำพริกจิ้งหรีด เพราะขอนแก่นคือ เมืองหลวงของแมลงกินได้ บริเวณนี้คนบริโภคแมลงมาตั้งแต่อดีต เริ่มแรกมีการทำวิจัยเรื่อง การเลี้ยงแมลงเพื่อการบริโภคของภาควิชากีฏวิทยา จากนั้น มข. ได้ออกไปอบรมให้กับเกษตรกรที่อยู่รายรอบ ทำให้เกิดอุตสาหกรรมเลี้ยงจิ้งหรีดขึ้น บางโรงที่เลี้ยงจิ้งหรีดมีกำลังผลิตถึงวันละ 1-2 ตัน กระจายขายอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นพื้นที่ที่คนนิยมกินแมลง แล้วส่งไปขายที่ภาคกลาง สมุทรสาคร ที่เป็นแหล่งซื้อแมลงที่ใหญ่มาก
ทางแก้จิ้งหรีดล้นตลาด
สาเหตุที่ชาวบ้านนิยมเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอันดับ 1 เนื่องจากเลี้ยงง่าย ผลผลิตคาดเดาได้ เพราะมีความสม่ำเสมอ แต่ก็มีบางช่วงที่เลี้ยงแล้วราคาจะตกลง โดยเฉพาะช่วงที่แมลงออกเยอะๆ อย่างหน้าฝนแล หน้าร้อน นี่เองจึงเป็นปัญหาที่ทำให้ต้องหาทางแก้ เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้
"เกษตรกรที่เลี้ยงมาบอกดิฉันว่าตอนที่ออกเยอะๆ แมลงราคาตก ดิฉันเลยพัฒนาเป็นจิ้งหรีดผงแล้วแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ น้ำพริก แล้วนำไปใส่ในคุกกี้ ใส่ในข้าวเกรียบด้วย เพื่อเพิ่มโปรตีนให้กับเด็ก พร้อมทำเป็นบะหมี่ ซึ่งพอทำออกมาแล้วก็ไปสอนชาวบ้าน"

หลังจากมีการทำจิ้งหรีดผงปรากฏว่ามีผู้ประกอบการสนใจแต่ไม่อยากจะทำเอง อยากจะให้เกษตรกรทำให้ ในขณะที่เกษตรกรเองต้องการที่จะเลี้ยงอย่างเดียว เพราะได้เงินง่ายไม่อยากเสียเวลาไปกับการแปรรูป เกษตรกรมักนิยมแปรรูปตอนที่จิ้งหรีดราคาตกต่ำเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วจิ้งหรีดผงอยู่ในกระแสโลก เพราะมีการรณรงค์ให้กินแมลงเนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่มีราคาถูก
ผศ.ดร.สมสมร ให้ข้อมูลอีกว่า พอทำเป็นจิ้งหรีดผงแล้วนำไปใส่ในคุกกี้ ฝรั่งในเมืองไทยที่เห็นลู่ทางทำเงินก็ติดต่อให้เกษตรกรอบจิ้งหรีดทำเป็นจิ้งหรีดผงส่งไปที่ภูเก็ต จากนั้นทำเป็นโปรตีนในช็อกโกแลต เป็นโปรตีนแท่งสำหรับนักปีนเขา ส่วนบ้านเราทำใส่ข้าวเกรียบให้เด็กไทยกิน

พูดถึงน้ำพริกตาแดงสูตรจิ้งหรีดนี้ ผศ.ดร.สมสมร รับประกันว่า รสชาติอร่อยถูกปากคนไทยเพราะในการทำแต่ละครั้งเมื่อมีการพัฒนาสูตร จะให้คนชิม ปรากฏว่าได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคสูงมาก เปรียบเทียบเหมือนกับเวลาใส่กุ้งในน้ำพริก เปลี่ยนเป็นจิ้งหรีดทอดแทน โดยใส่เข้าไปทั้งตัวไม่ได้แยกว่า ต้องเป็นส่วนไหน ตำรวมกันไปกับวัตถุดิบอื่นๆ
ในการทำน้ำพริกจิ้งหรีดในเชิงพาณิชย์นั้น ผศ.ดร.สมสมร บอกว่า พอพัฒนาสูตรเสร็จก็ไปอบรมให้กับชาวบ้าน ก็มีคนอยากจะหาคนทำเพื่อจะนำไปขาย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าในอุตสาหกรรมเลี้ยงจิ้งหรีดนั้น เกษตรกรเน้นผลิตเพื่อขายจิ้งหรีด เพราะจะได้เงินเร็วกว่า แต่พอช่วงไหนที่ราคาจิ้งหรีดตก เกษตรกรถึงจะทำในส่วนนี้ ปัจจุบันจึงยังไม่มีใครผลิตขายอย่างจริงจัง จะทำเฉพาะช่วงจิ้งหรีดล้นตลาดเท่านั้น
"บอกได้เลยแนวโน้มของผลิตภัณฑ์ มันเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่มีคนทำ ที่ผ่านมา ดิฉันได้ทดสอบกับผู้บริโภคว่ามีการยอมรับแค่ไหน ปรากฏว่าได้รับการยอมรับดีมาก ถ้าไม่บอกว่าเป็นจิ้งหรีดก็ไม่มีใครรู้ ที่ผ่านมา เคยทำออกรายการทีวีในช่องต่างประเทศไปแล้วถึง 5 ครั้ง ที่ญี่ปุ่น 1 ครั้ง ฝรั่งเศส 2 เยอรมนี 1 บลูมเบิร์ก 1 ครั้ง แต่ทีวีบ้านเรายังไม่มีใครมาทำ อาจจะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรากินกันอยู่แล้ว"

ผู้ใดต้องการข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยที่ผศ.ดร.สมสมรและคณะทำ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิ้งหรีดผงหรือปลาร้าก้อน ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ (043) 362-109 และ (085) 855-9893
ข้อมูลและภาพจาก www.sentangsedtee.com

Credit : http://money.sanook.com/

อ่านให้ชัด! เปิด “ยูทูป ประเทศไทย“ เจ้าของวีดีโอจะได้เงินเข้ากระเป๋าจากคลิปอย่างไร

ในยุคสมัยแห่งการออนไลน์ เว็บไซต์(Youtube.com) ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งรวมวีดีโอแหล่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกอินเทอร์เน็ต นับตั้งแต่เปิดให้ใช้งานเมื่อปีพ.ศ. 2548 จนถึงวันนี้ ยูทูปกลายเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของการค้นหา, รับชม และเผยแพร่วีดีโอสำหรับคนทั่วโลกโดยมีผู้เข้าชมคลิปวีดีโอในยูทูปกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
สำหรับประเทศไทย สถิติการใช้งานเว็บไซต์ยูทูปเมื่อปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า คนไทยมีแนวโน้มใช้งานยูทูปเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆทั้งในแง่การเข้าชม, แสดงความคิดเห็น และโพสต์เนื้อหา จนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยูทูป เปิดตัวยูทูป ฉบับประเทศไทย หรือเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า "ยูทูป ประเทศไทย" นอกจาก ยูทูป ประเทศไทย จะตอบสนองผู้ใช้งานชาวไทยในด้านต่างๆแล้ว ยูทูป ฉบับสยามประเทศ น่าจะเปิดช่องทางการทำธุรกิจให้กับผู้ใช้งานทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือบริษัทต่างๆอย่างจริงจังเหมือนในต่างประเทศแล้ว

ความเป็นมาและความพิเศษของ "ยูทูป ประเทศไทย"
คุณพรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาดกูเกิลประจำประเทศไทยซึ่งทำหน้าที่ดูแลการตลาดของยูทูปประเทศไทยเปิดเผยประโยชน์ที่ผู้ใช้ในประเทศไทยจะได้รับจากการตั้ง"ยูทูปประเทศไทย"ว่าเว็บไซต์ฉบับภาษาไทยจะเน้นนำเสนอวีดีโอภาษาไทยให้กับผู้ใช้งานชาวไทยมากขึ้นเพิ่มความสะดวกในการค้นหาวีดีโอที่มีเนื้อหาเป็นภาษาไทยในหน้าแรกโดยระบบจะดึงวีดีโอที่มีเนื้อหาเป็นภาษาไทยหรือวีดีโอภาษาไทยที่ได้รับความนิยมขึ้นมาอยู่หน้าแรกเพื่อแนะนำผู้ใช้ชาวไทย
 
นอกเหนือจากการนำเสนอวีดีโอภาษาไทยแล้วอีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการตั้งยูทูปฉบับภาษาไทยคือการเปิดโอกาสให้กับผู้สร้างวีดีโอในประเทศไทยรับส่วนแบ่งรายได้จากเว็บไซต์ยูทูปทั้งที่เป็นผู้ใช้งานทั่วไปและกลุ่มบริษัทต่างๆ
สำหรับยูทูปประเทศไทยมีโปรแกรมพาร์ทเนอร์เหมือนในต่างประเทศซึ่งยูทูปเริ่มนำระบบนี้มาใช้เมื่อปี2550โดยยูทูปมอบโอกาสให้เจ้าของวีดีโอได้ขยายฐานผู้ชมและสร้างรายได้จากวีดีโอที่โพสต์ลงเว็บไซต์ด้วยถือเป็นการแบ่งปันรายได้จากการโฆษณาให้ผู้สร้างวีดีโอ

เข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพิ่มโอกาสสร้างรายได้
ที่ผ่านมามีช่องรายการมากกว่า1ล้านช่องที่สร้างรายได้ผ่านโปรแกรมพาร์ทเนอร์ของยูทูปโดยการร่วมเป็นพาร์ทเนอร์สามารถลงทะเบียนฟรีด้วยขั้นตอนที่ง่ายดาย
ประเด็นสำคัญที่สุดซึ่งผู้ใช้งานอยากรู้คือรายละเอียดการแบ่งรายได้ว่ามีเกณฑ์อย่างไรก่อนอื่นต้องอธิบายพื้นฐานรายได้ของยูทูปก่อนว่าเว็บไซต์ยูทูปมีรายได้จากโฆษณาต่างๆในเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นแบนเนอร์(แถบโฆษณาในเว็บไซต์)หรือวีดีโอโฆษณาที่แทรกก่อนชมวีดีโอ
คุณพรทิพย์อธิบายจุดเริ่มต้นของการใช้งานว่า ผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรของยูทูปเพียงแค่มี 1 วีดีโอในช่องของตัวเองก็สมัครคัดเลือกร่วมโปรแกรมพาร์ทเนอร์ได้ โดยหลักเกณฑ์แรกของการคัดเลือกคือ วีดีโอต้องมีเนื้อหาถูกกฎหมาย กล่าวคือไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือเนื้อหาที่จะขัดต่อกฎหมาย
 
เกณฑ์ต่อมาคือผู้ใช้ช่องรายการต้องเป็นเจ้าของเนื้อหาไม่ได้คัดลอกหรือใช้เนื้อหาของคนอื่นซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือละเมิดกฎเกณฑ์ในชุมชนยูทูปเมื่อผ่านเกณฑ์เหล่านี้ผู้ใช้งานก็สามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับยูทูปได้ทันทีโดยทางเว็บไซต์จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลหรือแนะนำเทคนิกการใช้งานต่างๆ
"เมื่อเป็นพาร์ทเนอร์แล้วระบบก็จะคำนวณยอดผู้ชมคลิปในช่องกับยอดส่วนแบ่งรายได้จากโฆษณาของยูทูปว่าเป็นส่วนแบ่งเท่าไหร่บ้างเจ้าของช่องไม่ต้องกังวลเพราะทางเว็บไซต์จะมีระบบและคนคอยดูแลเพื่อให้ผู้ใช้งานใช้เวลาสร้างสรรค์วีดีโอที่มีคุณภาพตามความชอบหรือความถนัดส่วนตัวซึ่งเมื่อวีดีโอมีคุณภาพมีความน่าสนใจก็จะส่งผลต่อส่วนแบ่งรายได้เป็นประโยชน์ติดตามมา"คุณพรทิพย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดตัวเลขของส่วนแบ่งรายได้ที่ผู้ใช้จะได้รับนั้นคุณพรทิพย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขจะแตกต่างกันออกไปเนื่องจากการโฆษณาในยูทูปใช้ระบบประมูลซื้อโฆษณา เมื่อมีการประมูล ตัวเลขของค่าโฆษณาจะไม่แน่นอนจึงไม่สามารถระบุหรือการันตีชัดเจนว่าจะได้ส่วนแบ่งจำนวนเท่าไหร่ แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของช่องจะสามารถคำนวณได้จากประสบการณ์ที่เห็นโฆษณาที่มาลงและยอดวิวของวีดีโอในช่องตัวเอง

ประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจประเด็นต่อมาคือเรื่องเนื้อหากับการโฆษณาในยูทูป โดยคุณพรทิพย์อธิบายว่า เนื้อหาแต่ละประเภทก็มีการแบ่งส่วนแบ่งรายได้แตกต่างกันยกตัวอย่างเช่นเนื้อหาดนตรีจะแตกต่างจากเนื้อหาบันเทิงโดยทั่วไปกล่าวคือการทำเพลงจะมีเรื่องลิขสิทธิ์มาเกี่ยวข้องโดยเรื่องลิขสิทธิ์ก็มีความซับซ้อนแตกต่างกันออกไปอย่างเช่นจำนวนส่วนแบ่งรายได้ของวีดีโอที่ผู้ใช้เล่นเพลงแต่งเองกับเล่นเพลงของคนอื่นก็จะมีอัตราการแบ่งรายได้ไม่เท่ากันเนื่องจากการนำเพลงของคนอื่นมาทำใหม่จะต้องมีการแบ่ง
"เพลงที่แต่งเองทั้งทำนองและเนื้อหาแน่นอนว่าส่วนแบ่งรายได้มาเต็มแต่การเล่นเพลงที่เป็นของคนอื่นจะต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งกลับคืนให้เจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งกูเกิลจะเป็นผู้จัดการหักให้เจ้าของลิขสิทธิ์เองส่วนที่เหลือที่เราสร้างสรรค์เองก็จะได้กลับมา"คุณพรทิพย์กล่าว
ส่วนขั้นตอนในการรับรายได้ระบบจะให้ข้อมูลยอดวิวและอัตราตัวเลขส่วนแบ่งรายได้อยู่ทุกวันเมื่อแตะระดับยอดที่ตั้งไว้ผู้ใช้ก็จะได้รับเงินผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะโอนเงินเข้าบัญชีหรือจะรับเป็นเช็คขณะที่ยอดที่ตั้งไว้นั้นคุณพรทิพย์ระบุว่าแต่ละประเทศมีกำหนดระดับแตกต่างกัน
หัวหน้าฝ่ายการตลาดกูเกิลยังอธิบายเพิ่มเติมโดยยกตัวอย่างเพลง"กังนัมสไตล์"ของ"ไซ"ศิลปินเกาหลีที่มียอดวิวสูงเป็นประวัติการณ์จนโด่งดังทั่วโลกซึ่งทั้งเพลงและท่าเต้นเหล่านี้มีลิขสิทธิ์การทำคลิปคัพเวอร์เพลงจุดนี้ส่วนแบ่งรายได้โฆษณาจะกลับคืนสู่เจ้าของตรงนี้อาจเกิดคำถามต่อไปว่าทำไม"ไซ"ถึงไม่ฟ้องผู้ที่นำเพลงของเขามาทำใหม่ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของศิลปินโดยชอบธรรม ?
สำหรับในเว็บไซต์ยูทูปแล้วยูทูปสร้างเทคโนโลยีการปกป้องลิขสิทธิ์ผู้สร้างสรรค์เมื่อเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรกับยูทูปเมื่อผู้ใช้งานโพสต์วีดีโอลงในเว็บไซต์ระบบจะถามเรื่อง"ความเป็นเจ้าของเนื้อหา"โดยเทคโนโลยีจะอ่านเนื้อหาทั้งภาพและเสียงแล้วเก็บในระบบทำให้รู้ว่าผู้ใช้งานเป็นเจ้าของไอดี
เมื่อจัดเก็บแล้วระบบจะถามต่อว่า"เจ้าของเนื้อหา"อนุญาตให้ผู้อื่นนำไปใช้ต่อแบบเลียนแบบในยูทูปต่อหรือไม่หรือไม่อนุญาตเลยเทคโนโลยีนี้จะช่วยตรวจจับการนำเนื้อหาในยูทูปมาทำซ้ำใหม่โดยผู้ใช้ที่ไม่ใช่เจ้าของเนื้อหาถ้าเนื้อหาที่ผู้อื่นนำไปใช้ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของในยูทูประบบก็จะบล็อกวีดีโอเหล่านั้นและแจ้งกลับไปยังเจ้าของวีดีโอ
แต่กรณีที่เจ้าของอนุญาตก็สามารถได้ประโยชน์จากค่าลิขสิทธิ์อย่างเช่นกรณีเพลง"กังนัมสไตล์"ของ"ไซ"ซึ่งเจ้าของแจ้งยืนยันการเป็นเจ้าของแต่อนุญาตให้คนอื่นนำไปใช้ต่อทำคลิปเต้นตามได้โดยที่ไซยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่ไซจะมีส่วนแบ่งรายได้จากที่คนทั่วโลกนำเพลงของเขาไปทำในคลิปต่อ
ความสัมพันธ์ทางธุรกิจเหล่านี้กล่าวโดยสรุปคือถ้าเจ้าของคลิปเป็นเจ้าของเนื้อหาเองทั้งหมดส่วนแบ่งรายได้จากโฆษณาจะแบ่งออกเป็น2ฝ่ายระหว่าง "ยูทูป" กับ "เจ้าของคลิป" แต่เมื่อผู้ใช้นำเนื้อหาที่ผู้อื่นอนุญาตให้ใช้ต่อได้ไปใช้ ส่วนแบ่งจะแยกออกเป็น 3 ฝ่าย ระหว่าง "เจ้าของเนื้อหาตัวจริง" - "ยูทูป" - "ผู้นำเนื้อหามาใช้งานต่อ" สำหรับผู้ใช้งานยูทูปมาก่อนแล้วคงเคยเจอสถานการณ์ที่ถูกบล็อกการอัพโหลดเนื่องจากเทคโนโลยีตรวจจับของยูทูปพบการใช้งานเนื้อหาของคนอื่นซึ่งไม่อนุญาตให้มีการนำไปใช้ต่อแต่ในอีกด้านหนึ่งเทคโนโลยีจะเป็นการปกป้องเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย

ส่วนแบ่งมาก-น้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง ?
ถึงตรงนี้ประเด็นข้อสงสัยต่อมาคือจำนวนส่วนแบ่งรายได้ที่จะได้รับใครได้มากได้น้อยมีการคำนวณจากปัจจัยใดบ้างคุณพรทิพย์เปิดเผยว่าจำนวนส่วนแบ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอาทิยอดผู้ชมคลิปในแต่ละช่อง, เนื้อหาตรงเป้าหมายที่นักโฆษณาหรือแบรนด์ธุรกิจต่างๆอยากมาลงโฆษณา ถ้าเนื้อหาคลิปไม่ตรงกับสิ่งที่แบรนด์ต้องการมากนักส่วนแบ่งก็จะลดน้อยลง
คุณพรทิพย์ยืนยันว่ายูทูปจะเป็นคนกลางที่ไปพูดคุยกับกลุ่มธุรกิจเพื่อหาโฆษณาผู้ที่ลงโฆษณาจะเป็นผู้เลือกว่าเนื้อหาช่องของใครตรงกับเป้าหมายการสื่อสารเช่น แบรนด์เครื่องสำอางก็จะเลือก วีดีโอรีวิวเครื่องสำอาง ขณะที่เจ้าของช่องยังสามารถกำหนดได้ว่าช่องของตัวเองจะให้มีแสดงโฆษณารูปแบบใดบ้าง
ทั้งนี้คุณพรทิพย์ยืนยันว่าผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้ซื้อโฆษณาเนื่องจากผู้โฆษณามีความหลากหลายมากทั้งในแง่จำนวนและรูปแบบการลงโฆษณาในยูทูป
"ผู้โฆษณาไม่จำเป็นต้องเลือกเป็นช่องก็ได้เลือกเป็นประเภทเนื้อหาเช่นเรื่องการท่องเที่ยวหรือดนตรีหรือถ้าผู้โฆษณาชื่นชอบช่องของใครเป็นพิเศษก็สามารถเจาะจงได้เช่นกันนอกจากนี้ผู้ลงโฆษณายังมีกลุ่มกว้างขวางทั่วโลกตอนนี้ผู้ลงโฆษณาในไทยก็เริ่มทยอยเข้ามาหลังเปิดตัวยูทูปประเทศไทยและเราก็ได้รับการตอบรับจากแบรนด์ธุรกิจต่างๆเป็นอย่างดีเนื่องจากยูทูปเป็นแพลทฟอร์มที่ใหญ่ระดับโลกและช่วยให้เข้าถึงผู้ใช้ผู้ชมเป็นอย่างดีขณะที่เทรนด์การโฆษณาด้วยวีดีโอก็กำลังมาเช่นเดียวกับแบรนด์ต่างๆที่รอการเปิดตัวของยูทูปในไทยเพราะการโฆษณาด้วยวีดีโอสามารถสร้างสรรค์ได้มากและใช้ประโยชน์ในการเข้าถึงได้ดีอีกด้วย"หัวหน้าฝ่ายการตลาดอธิบายถึงการโฆษณาในยูทูป

 
แม้ว่าจะไม่สามารถระบุตัวเลขส่วนแบ่งรายได้ต่อยอดจำนวนผู้ชมอย่างชัดเจนดังที่อธิบายไปข้างต้นแต่คุณพรทิพย์ยังยกตัวอย่างผู้ใช้งานที่ประสบความสำเร็จจากการร่วมโปรแกรมพันธมิตรทั้งที่เป็นบริษัทแบรนด์ต่างๆรวมถึงบุคคลผู้ใช้ธรรมดาทั่วไปที่เติบโตได้รายได้จากยูทูปโดยทั่วโลกมีช่องที่สามารถสร้างรายได้ต่อเดือนแตะเลข6หลักในอัตราดอลลาร์สหรัฐมากกว่าพันรายซึ่งถือว่าสูงมากขณะที่บริษัทและค่ายเพลงก็เริ่มเข้ามาสนใจมากขึ้นด้วย
ที่ผ่านมามีบุคคลใช้งานทั่วไปในภูมิภาคเอเชียที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นพาร์ทเนอร์ไม่ว่าจะเป็นทางดนตรีทำอาหารหรือด้านความงามเช่นHikakin (youtube.com/HIKAKIN) ที่ทำ "บีทบ็อกซ์" หรือ ทำเสียงดนตรีจากปาก มียอดผู้ชมคลิปในช่องของเขาเองทั้งหมด 250 ล้านครั้ง ถือว่าเวลานี้โอกาสเป็นของคนไทยในการสร้างรายได้จากยูทูปเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆแล้ว ผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นสมัครร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ได้แล้วจากนั้นก็เริ่มสร้างวีดีโอตามความถนัดอย่างสม่ำเสมอไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้อาจมีชาวไทยที่กลายเป็นคนดังและประสบความสำเร็จจากการใช้ยูทูปเพิ่มขึ้นด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่นี่http://www.youtube.com/account_monetization
Credit : http://money.sanook.com/

เลือกหุ้นเหมือนเลือกแฟน

ฝากการบ้านในครั้งที่แล้วให้ไปสมัคร Click2Win แล้วก็อ่านข่าวเศรษฐกิจบ้างได้ทำกันไหมค่ะ วันนี้นานิจะมาพูดเรื่องการเลือกหุ้นค่ะ! ปกติเวลาพูดเรื่องหุ้นวัยรุ่นก็ปิดหู เปิดไอโฟนเล่นเกมทันที เพราะคิดว่ายาก วันนี้ก็เลยจะมาบอกว่า การเลือกหุ้นจริงๆแล้วใช้หลักการคร่าวๆเดียวกับการเลือกแฟนเลยนะ! ไม่ได้ปวดหัวอย่างที่คิด ^_^ แล้วเวลาเลือกแฟนมันเป็นยังไง?

โดยพื้นฐานแล้ว นานิจะมีคุณสมบัติที่มองหาอยู่ 4 อย่างคือ
1. หน้าตาดี  – อันนี้เบสิค  คือ กำไรต้องหล่อ ยิ่งหล่อขึ้นทุกปียิ่งดี 
2. มีฐานะ – อาจจะยังไม่ต้องร่ำรวยขนาดนั้น แต่คงอยากเน้นว่าหนี้สินน้อย เงินสดเยอะ คือหนี้สินควรจะไม่มากเกินไป ถ้าแฟนมีหนี้ท่วมหัวก็คงไม่ work ใช่มั้ยค่ะ สรุปคือ ต้องมีฐานะที่ร่ำรวย และมั่นคง 
3. ใฝ่ดี มีอนาคต - มีความทะเยอทยานอยากเป็นที่หนึ่ง มีการวางแผนอนาคต คิดนโยบายที่่นำมาสู่ความก้าวหน้า
ไม่ใช่ว่าพ่อรวย ก็เลยไม่สนใจจะพัฒนาอะไรเลย ไม่มีการวางแผนการตลาดเชิงรุก เอาแต่นั่งนอนบนความสำเร็จของรุ่นก่อนไปวันๆ แบบนี้ใช้ไม่ได้นะค้า วิธีการนึงที่เราจะรู้ว่าเค้าใฝ่ดีมีอนาคตแค่ไหน ก็ลองไปฟัง Opportunity Day ของตลาดหลักทรัพย์ บริษัทจะออกมาเล่าถึงผลประกอบการและนโยบายที่จะเพิ่มกำไร/รับมือกับปัญหาที่เจออย่างไรบ้าง ถ้าผู้บริหารมีแผนที่ชัดเจน เป็นไปได้ ก็น่าสนใจเนอะ =DD
4. ต้องไม่สาวติดตรึม หรือเป็นที่นิยมมากเกินไป – คือคนยังไม่ไล่ตามซื้อจนเว่อ อย่างนึงที่นานิเชื่อก็คือว่า ในตลาดหุ้นคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จและได้กำไรในระยะยาว ดังนั้นถ้าเราไปถือตามคนจำนวนมากๆตลอดก็ควรจะกลับมาคิดได้ละว่า อ่าวถ้าแบบนี้ทำไมคนเค้าไม่รวยกันทั้งตลาดแล้วหล่ะ จริงมั้ย?  
แต่อย่างที่บอกเลือกหุ้นก็เหมือนเลือกแฟนละเนอะ ต้องดูหลายๆอย่างรวมกัน
ความเสี่ยงก็เหมือนกันคือ บางทีเราสกรีนปัจจัยพื้นฐานต่างๆมาอย่างดี
หุ้นก็เลือกตัวที่กำไรดี มีอนาคต
แฟนก็เลือกคนที่นิสัยดี หน้าตาดี ใฝ่ดี
แต่บางทีก็ดันไม่เป็นไปตามที่คาด เพราะโลกนี้บางทีอะไรๆมันก็เป็นไปอย่าง
ไม่มีเหตุผล หุ้นดีๆ บางทีก็ราคาร่วง ทำให้เราขาดทุนเงิน เสียเงินไป
แฟนที่นึกว่าดีบางทีคบไปนานๆกลับไม่ใช่ ทำให้เราขาดทุนใจ เสียใจได้อีก
แต่หุ้นดีกว่าแฟนอยู่อย่าง ก็คือ เราสามารถเลือกถือเลือกลงทุนหุ้นหลายๆตัวได้พร้อมกัน เป็นการกระจายเสี่ยง โดยไม่มีปัญหาตามมา 555 คราวนี้ฝากการบ้านเพื่อนๆคือให้ไปหาหุ้นที่มีคุณสมบัติอย่างที่เล่าไปมาซัก 3-4 ตัวนะคะ ถ้ายังไม่รู้จักบริษัทเยอะ ก็ลองมองรอบๆตัวก่อนก็ได้ เราชอบกินอะไร เพื่อนเราชอบซื้ออะไร เป็นสินค้าจากร้านหรือบริษัทไหน แล้วค่อยไปตามดูบริษัทนั้นๆว่ามีคุณสมบัติตามที่เราต้องการรึป่าว เดี๋ยวเดือนหน้านานิจะมาเล่าให้ฟังว่าหุ้นมีกี่ประเภท เปรียบเหมือนแฟนแบบไหนบ้างค่ะ ^_^

ผู้เขียน : นานิ นิธินวกร ผู้เขียนหนังสือ "สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ"
สนับสนุนข้อมูลโดย : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th/onlineinvestor
Credit : http://money.sanook.com/

เตรียมเงินก่อนเกษียณ

ถ้าใครเคยป่วยหนักถึงขั้นที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆนอนพักรักษาตัวอยู่บ้านหลายวัน  นั้นอาจจะทำให้รู้สึกถึงความทรมานที่ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนหรือทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำได้ ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และ “เงิน” ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราผ่านพ้นช่วงนั้นออกมาได้ 
ชีวิตในขณะที่เจ็บป่วยนั้นไม่ต่างกับช่วงวัยเกษียณ เรามาดูกันว่าใกล้เคียงกันอย่างไร 

 
ดังนั้น เราควรแบ่งเงินออมไว้บางส่วนเพื่อใช้จ่ายในช่วงเวลาเหล่านั้น เริ่มออมในขณะที่มีเรามีเรี่ยวแรงสร้างรายได้จะดีกว่าไหม ซึ่งรูปแบบการออมเพื่อวัยเกษียณนั้นไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงมากเกินไป ควรเป็นลักษณะที่รักษาเงินต้นและได้รับผลตอบแทนต่อเนื่อง ในรูปแบบของ “ดอกเบี้ยหรือเงินปันผล” และสามารถให้ผลตอบแทนในรูปแบบของส่วนต่างของราคา (Capital gain) ได้อีกด้วย ซึ่งเราควรเปรียบเทียบภาระภาษีก่อนตัดสินใจลงทุนเพื่อที่จะรู้ว่าผลตอบแทนที่แท้จริงของเราเป็นเท่าไหร่และควรจะออมเพิ่มอีกเท่าไหร่ ดังนี้
 
ครั้งต่อไปจะมีวิธีหาข้อมูลเพื่อใช้ในการลงทุน เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้างอย่าลืมติดตามกันนะคะ ^_^

ผู้เขียน : อภินิหารเงินออม
สนับสนุนข้อมูลโดย : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th/onlineinvestor)  
Credit : http://money.sanook.com/

ลงทุนสร้างรายได้ แนวไหน เหมาะกับเรา

หลังจากที่ได้คุยกันเรื่องกองทุนและหุ้นที่คนวัยทำงานอย่างเราจะสามารถสรรหามาลงทุนกันไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้มาโฟกัสเรื่องหุ้นต่อกันเลยดีกว่า เราคงเคยได้ยินมาว่าบางคนลงทุนแนวเทคนิคอล บางคนแนววีไอ บางคนเก็งกำไร บางคนหวัง Passive Income ฟังแล้วปวดหัวสรุปมันมีแนวไหนบ้างเนี๊ยะ?! ก่อนจะเข้าใจแนวทางการวิเคราะห์หุ้นต่างๆ เราคงต้องเข้าใจก่อนว่า เงินที่เราสามารถได้จากหุ้นนั้นมี 2 อย่างคือ

1. Capital Gain ซึ่งเป็นกำไรจากส่วนต่างราคา เช่น ถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาท แล้วขายได้ที่ 12 บาท นี่เท่ากับเราได้ capital gain คือ 2 บาทต่อหุ้น หรือ 20% ถ้าเรามีหุ้นเป็นจำนวน 1,000 หุ้น นี่เท่ากับเราได้กำไร Capital Gain เป็นเงิน 2,000 บาท ^_^
2. Dividend ซึ่งหมายถึงเงินปันผลนั่นเอง บริษัทจะประกาศพร้อมๆกับผลประกอบการประจำปีว่าจะปันผลเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ต่อหุ้น เช่น ปันผลเป็นเงิน 0.5 บาทต่อหุ้น ถ้าเรามี 1,000 หุ้นแบบเมื่อกี้ ก็เท่ากับเราจะได้ปันผลเป็นเงิน 500 บาท ^_^ บางคนสงสัยว่าแล้วเวลาหุ้นขึ้น XD คืออะไร แล้วทำไมหุ้นชอบลงเวลามีตัว XD มาต่อท้าย ตอบคือ ถ้าเราอยากได้ปันผล เราจะต้องซื้อก่อนวันที่มันจะขึ้น XD ค่ะ คนที่ซื้อหลังจากวันนี้ไปจะไม่ได้เงินปันผล โดยทฤษฎีแล้ว หุ้นจะลงเท่ากับตัวเงินปันผล เช่นถ้าหุ้นราคา 10 บาท วันที่ขึ้น XD ก็มักจะลงเหลือ 9.5 บาท นั่นเอง แต่ในชีวิตจริงแล้วบางทีก็ลงเยอะกว่า บางทีก็ลงไม่ถึง 0.5 บาทหรอกค่า ลองไปตามดูและศึกษาละกัน raspberry
เอาเป็นว่าเวลาคนบอกว่าเค้าเป็นนักเก็งกำไร นั่นก็แปลว่าเค้าลงทุนเพื่อหวัง Capital Gain เป็นหลัก ส่วนคนที่อยากได้ Passive Income ก็แปลว่าเค้าเลือกหุ้นที่มีปันผลเยอะ สม่ำเสมอและมั่นคงทุกปี 
เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้นก็แบ่งเป็นสองพวกใหญ่ๆคือ 1. เครื่องมือเทคนิคอล ซึ่งจะเป็นพวกกราฟที่ดูพฤติกรรมราคาหุ้นในอดีต ประกอบกับเครื่องมือทางเทคนิคมาใช้เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมราคาที่จะเกิด นักเก็งกำไรทางเทคนิคจะใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการตัดสินใจเข้าซื้อและขายออก เพื่อสร้าง Capital Gain  2. ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ข่าว งบการเงิน/ผลประกอบการของบริษัท ฯลฯ วีไอส่วนใหญ่จะใช้ข้อ 2. เป็นหลักแล้วพยายามหาหุ้นที่ราคาถูกมากๆกว่ามูลค่าที่เค้าคิดว่าควรจะเป็นแล้วเค้าซื้อเก็บ 

สรุปก็คือ หารายได้จากการลงทุนผ่านหุ้น มีหลายวิธี หลายทาง ไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีไหนถูก วิธีไหนผิด แต่วิธีที่ผิดแน่ๆคือซื้อตามคนอื่นบอก นานิอยากให้นักลงทุนมือใหม่ทุกคนศึกษาก่อน ไม่ใช่ศึกษาเศรษฐกิจระดับโลก แต่ศึกษาตัวเรา วันนี้นานิฝากการบ้านให้ไปลองเล่น Click2Win (www.settrade.com/click2win) ดูซักเดือนนึงสองเดือนแล้วถามตัวเองว่าเราลงทุนเพื่ออะไร แบบไหนที่เหมาะกับเรา แค่นี้ก็ได้เปรียบคนส่วนมากในตลาดที่โดนแต่ความโลภและความประมาทล่อเข้ามาแล้วค่ะ =) เจอกันคราวหน้าค่า ^_^

ผู้เขียน : นานิ นิธินวกร ผู้เขียนหนังสือ “สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ”
สนับสนุนข้อมูลโดย : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th/onlineinvestor)

ข้อมูลจาก http://money.sanook.com/