วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ความเสี่ยงคืออะไร

ความเสี่ยง คืออะไร?
ความเสี่ยงในการลงทุน หมายถึง การที่ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจริงจากการลงทุน เบี่ยงเบนไปจากผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ว่าจะได้รับเมื่อแรกเริ่มลงทุน ไม่ว่าผลตอบแทนที่ได้รับจริงจะมากกว่า หรือน้อยกว่าที่คาดหวัง ถือว่าเป็นความเสี่ยงทั้งสิ้น ดังนั้น จึงไม่มีการลงทุนประเภทใดที่ไม่มีความเสี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารทุน

ผู้ลงทุนสามารถลดความเสี่ยงในการลงทุนในตราสารทุนได้ในระดับหนึ่ง โดยการกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ของหลายอุตสาหกรรมและหลายภาคธุรกิจ ทั้งยังควรคัดเลือกตราสารที่จะลงทุนอย่างพิถีพิถัน โดยพิจารณาจากปัจจัยทางพื้นฐานของบริษัทผู้ออกตราสารทุนนั้น ๆ เป็นสำคัญ เช่น 
กิจการที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง มีผลกำไรในการประกอบการอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอทุกปี และถ้าเป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ก็ต้องมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจสูง
กิจการที่มีแนวโน้มในการเจริญเติบโตที่ชัดเจนมีส่วนแบ่งตลาดสูง มีความสามารถในเชิงแข่งขันสูง 
กิจการที่มีคณะผู้บริหารที่มีคุณภาพ และไม่มีประวัติการปฏิบัติงานที่ด่างพร้อยหรือส่อในทางไม่สุจริต
กิจการที่มีข้อมูลประกอบธุรกิจที่ชัดเจนโปร่งใส เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของผู้ลงทุน
กิจการที่มีงบแสดงฐานะทางการเงินที่ครบถ้วนตามมาตรฐานบัญชีที่มีคุณภาพ

ความเสี่ยงของตราสารทุน สามารถแยกออกเป็น 3 ประเภทที่สำคัญได้ ดังนี้ คือ
  1. Company Risk หรือ Credit Risk
    • ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับบริษัทนั้น อันเกิดจากสาเหตุทั้งภายในและภายนอก ที่ผู้ลงทุนไม่สามารถคาดการณ์ หรือรับรู้มาก่อนได้ เช่น 
    • การเปลี่ยนแปลงคณะจัดการหรือผู้บริหารสำคัญ ซึ่งอาจมีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการดำเนินงานของกิจการ 
    • ความผิดพลาดในการบริหาร จนทำให้เกิดความเสียหายและความสูญเสียต่อผู้ถือหุ้น 
    • การแข่งขันในเชิงการตลาดของคู่แข่ง ที่มีผลกระทบต่อปริมาณการขาย และรายได้ของกิจการ 
    • ความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และมีผลกระทบต่อปริมาณการขายและรายได้ของกิจการ
    • ความเสียหายจากภัยพิบัติ ทำให้ขบวนการผลิตและการจัดการหยุดชะงัก และกระทบต่อกระแสรายได้ของกิจการ
    • การถูกฟ้องร้องดำเนินคดี อันนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียง และค่านิยม (goodwill) 
    • การล้มละลาย ความสูญเสียทั้งมวลของผู้ถือหุ้น

  2. Sector Risk หรือ Industry Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดจากคุณสมบัติเฉพาะของภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ เอง เช่น ธุรกิจ หรือ อุตสาหกรรมที่มีการผลิตหรือเสนอขายสินค้าหรือบริการเฉพาะเจาะจงเพียงไม่กี่ประเภท เช่น บริษัทสายการบิน บริษัททำเหมืองแร่ บริษัทคอมพิวเตอร์และ softwares เป็นต้น ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมประเภทนี้ ตลอดจนราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้สามารถพุ่งสูงขึ้น และสามารถตกต่ำได้ในชั่วพริบตา หากมีเหตุการณ์อันไม่คาดฝันเกิดขึ้น
  3. Market Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้น ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น โดยที่ปัจจัยทางพื้นฐานของหุ้นนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย กรณีเช่นนี้ มักจะเกิดขึ้นในขณะที่ ตลาดหุ้นอยู่ในสภาพร้อนแรง (bull market) หรือ ซบเซา (bear market) อันมีผลมาจากกระแสความรู้สึกโดยรวมของผู้ลงทุน (market sentiment) ในขณะนั้น ๆ สภาพเศรษฐกิจ การเมือง และ การเงิน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ จะมีส่วนกำหนด market sentiment ของผู้ลงทุนด้วย

ความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้
โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในตราสารทุน แต่ในสถานการณ์ที่นโยบายการเงินของภาครัฐไม่ชัดเจน อัตราดอกเบี้ยขยับตัวขึ้นลงมาก ตลาดตราสารหนี้อาจมีความผันผวนและมีความเสี่ยงสูง การลงทุนในตราสารหนี้ในสถานการณ์ดังกล่าว ก็อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในตราสารทุนก็เป็นได้

ความเสี่ยงของตราสารหนี้ มีอยู่ 10 ประเภทด้วยกัน

  1. Interest Rate Risk หรือ Market Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินผันผวน ตัวอย่างเช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินขยับตัวสูงขึ้น หรือมีท่าทีว่าจะขยับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ตราไว้ (coupon rate) ของตราสารหนี้ที่ออกใหม่ก็จะสูงขึ้นด้วย ตราสารหนี้ที่ออกมาก่อนหน้าและมีการซื้อขายในตลาดรองก็จะมีการซื้อขายในระดับราคาที่ลดลง เพื่อดึงให้อัตราผลตอบแทน(Yield) ขยับสูงขึ้นไปอยู่ในระดับที่เทียบเคียงกันกับอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ฉะนั้น ยิ่งตราสารหนี้ที่มีอายุยาวเพียงใด หรือ มีอัตราดอกเบี้ยที่ตราไว้ (coupon rate) ต่ำเพียงใด ตราสารหนี้นั้น ก็จะมีความเสี่ยงต่ออัตราดอกเบี้ยที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตมากขึ้นเท่านั้น
  2. Credit Risk หรือ Default Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดจากการที่ผู้ออกตราสารหนี้ ไม่สามารถจ่ายชำระดอกเบี้ย หรือ ชำระคืนเงินต้นได้เต็มตามจำนวนเงิน หรือ ตามเวลาที่กำหนดไว้ ในบรรดาตราสารหนี้ทั้งหมดของภาครัฐและภาคเอกชน ตั๋วเงินคลังของรัฐบาล จะไม่มี credit risk เลย ในขณะที่ ตั๋วเงิน หรือ หุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ประเภทอื่น ๆ ที่ออกโดยภาคเอกชน จะมี credit risk มากบ้าง น้อยบ้างในระดับที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจ่ายชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ออกตราสารหนี้นั้น ๆ
    การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้ อาจดูจาก ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ตราสารหนี้นั้น ๆ ที่จัดทำโดย บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating agency) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ออกตราสารหนี้ ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น อาจมีการจัดอันดับทั้งด้านคุณภาพของผู้ออกตราสารหนี้ (ความสามารถในการจ่ายชำระหนี้) และด้านคุณภาพของตัวตราสารหนี้เอง (ความเหมาะสมของเงื่อนไขในการชำระหนี้)
  3. Purchasing Power Risk หรือ Inflation Risk
    ความเสี่ยงต่อการมีอำนาจซื้อที่ลดลงในอนาคต ภาวะเงินเฟ้อมีอิทธิพลต่ออำนาจซื้อของผู้ลงทุน ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่คู่กันไปกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวเกินกว่า 10 ปี จึงมีความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อและอำนาจซื้อที่ลดลงในอนาคต เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาว จะมีจำนวนเงินที่ได้รับในแต่ละงวดเท่าเดิมตลอดอายุของตราสารหนี้นั้น ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อทำให้ราคาสิ่งของแพงขึ้น

    ผลตอบแทนที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ยรับ – อัตราเงินเฟ้อ

    ถ้าภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น ผลตอบแทนที่แท้จริง (real return) ของการลงทุนในตราสารหนี้จะลดลง และทำให้อำนาจซื้อของผู้ลงทุนลดลงด้วย 
    หากภาวะเงินเฟ้อในปีใดสูงเกินกว่าดอกเบี้ยรับของตราสารหนี้นั้น ผลตอบแทนที่แท้จริงที่ผู้ลงทุนจะได้รับอาจถึงขั้นติดลบก็ได้ กล่าวได้ว่า รายรับจากดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่ลงทุนไว้ ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ฉะนั้น ผู้ลงทุนที่นำเงินออมจำนวนมาก ๆ ไปลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวที่มีดอกเบี้ยในอัตราคงที่ (fixed coupon rate) อาจประสบกับความเสี่ยงประเภท purchasing power risk เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น รายจ่ายเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ แต่มีรายได้จากดอกเบี้ยรับคงที่ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ลงทุนมิได้คำนึงถึงความเสี่ยงประเภทนี้มากนัก 
    ผู้ลงทุนจึงควรกระจายเงินที่จะลงทุนไปในตราสารหนี้ที่มีอายุ (maturity) หลากหลาย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงประเภท purchasing power risk ไปในตัว
  4. Reinvestment Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการที่ ผู้ลงทุนนำเอาดอกเบี้ยรายงวดที่ได้รับจากตราสารหนี้ ไปลงทุนต่อในตราสารที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ลดลงจากเดิม ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินลดต่ำลง ถึงแม้ว่าตราสารหนี้ที่ลงทุนไว้ จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ตราไว้คงที่ก็ตาม แต่กระแสเงินสดที่ผู้ลงทุนได้รับจากดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ จะถูกนำไปลงทุนใหม่อีกครั้งในตราสารอื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยลดต่ำลง กล่าวง่าย ๆ ก็คือ อัตราดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยรับลดลงนั่นเอง จึงทำให้อัตราผลตอบแทนโดยรวมในการลงทุนในตราสารหนี้ของผู้ลงทุนนั้นลดลง
  5. Rollover Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดในกรณีที่ตราสารหนี้ที่ลงทุนไว้เดิมครบกำหนดอายุ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินลดลง และผู้ลงทุนต้องนำเงินต้นที่ได้รับชำระคืนจากตราสารหนี้นั้น ไปลงทุนใหม่ในตราสารหนี้ใหม่ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลง ในกรณีเช่นนี้ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนรอบใหม่จะลดลง เป็นความเสี่ยงที่มีลักษณะเหมือนกับ Reinvestment Risk แต่จะเกิดกับเงินต้นที่อ่อนตัวและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ตราสารหนี้ระยะสั้น จะมี rollover risk สูงสุด แต่ในช่วงที่ตลาดเงินตึงตัว และดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ตราสารหนี้ระยะสั้นก็จะมี rollover risk ต่ำ และสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าตราสารหนี้ประเภทอื่น
  6. Call Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดจากการที่ผู้ออกตราสารหนี้ ขอชำระคืนหนี้ก่อนครบกำหนด ความเสี่ยงประเภทนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับตราสารหนี้ที่มีการระบุเงื่อนไข call option ไว้ล่วงหน้าว่า ผู้ออกตราสารหนี้มีสิทธิที่จะจ่ายชำระคืนหนี้ได้ก่อนกำหนด ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง และผู้ออกตราสารหนี้สามารถหาแหล่งเงินทุนอื่น ที่มีต้นทุนต่ำกว่ามาจ่ายคืน (refinancing) ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ประเภทนี้จะถูกบังคับให้รับคืนเงิน และต้องนำเงินที่ได้รับคืนนั้น ไปลงทุนใหม่ในตราสารอื่น ที่มีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเดิมที่เคยได้รับ
  7. Prepayment Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดจากการที่ลูกหนี้จ่ายชำระคืนหนี้ก่อนครบกำหนดอายุ เช่นเดียวกันกับ call risk แต่ความเสี่ยงประเภท prepayment risk นี้ มักจะเกิดขึ้นกับตราสารหนี้ประเภทที่มีบัญชีลูกหนี้พร้อมหลักทรัพย์จดจำนองเป็นประกันการชำระคืนของตราสารหนี้นั้น (mortgaged-back securities) หากลูกหนี้ตามสัญญาจำนองชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยก่อนกำหนด และถอนหลักทรัพย์ค้ำประกัน ตราสารหนี้นั้นก็จะต้องรับคืนเงินก่อนกำหนด และหากอยู่ในระหว่างอัตราดอกเบี้ยขาลง ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ก็จะเสียเปรียบ เช่นเดียวกับกรณีของ reinvestment risk
  8. Currency Risk หรือ Exchange Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นกับกรณีของการลงทุนข้ามประเทศ ตัวอย่างเช่น 
    นาย A นำเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เข้ามาลงทุนในตลาดทุนของประเทศไทย ในช่วงก่อนเงินบาทลอยตัวในปี 2540 ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยน US$ 1 = 25 บาท
    นาย A ลงทุนด้วยเงิน 25 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี ได้กำไรทุกปี ในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ดังนั้น นาย A มีเงินลงทุนพร้อมดอกเบี้ยทบต้น มีมูลค่าสะสมรวมเท่ากับ 40.27 บาท
    ต่อมา นาย A ต้องการที่จะถอนเงินที่ลงทุนไว้และส่งกลับไปยังประเทศของตน 
    นาย A ต้องนำเงินลงทุนรวมทั้งผลกำไรที่เกิดขึ้น (40.27 บาท) ไปแลกกลับเป็นเงินสกุล ดอลลาร์สหรัฐ
    ในปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยน US$ 1 = 42 บาท 
    นาย A พบว่าผลกำไรที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ลงทุน 5 ปี ไม่คุ้มกับการขาดทุนค่าของเงิน

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับนาย A คือ currency risk หรือ exchange risk ที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนต่างประเทศในตลาดทุนไทย นอกเหนือไปจากการขาดทุนในการลงทุนทั่วไป ฉะนั้น เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจ การเงิน และการเมืองภายในประเทศไม่เอื้ออำนวย จะพบว่าไม่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้า ทั้งที่ลงทุนอยู่แล้วก็เริ่มไหลออกไปยังตลาดทุนอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าด้วย

  9. Liquidity Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการขาดสภาพคล่องในการซื้อขายเปลี่ยนมือของตราสารหนี้นั้น ๆ มักจะเกิดขึ้นกับกรณีที่ผู้ลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่เป็นที่นิยม และมีปริมาณซื้อขายในตลาดรองน้อยมาก หากผู้ลงทุนประสงค์จะขายตราสารหนี้นั้น เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดในกรณีจำเป็น ผู้ลงทุนอาจจะต้องยอมลดราคาขายลงต่ำกว่าราคาตลาดโดยทั่วไป เพื่อดึงให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นและดึงดูดความสนใจให้มีผู้ซื้อเข้ามาซื้อ ราคาซื้อขายดังกล่าวไม่ใช่ราคาที่ยุติธรรมต่อผู้ขายอย่างแน่นอน หรืออาจจะถึงขั้นที่เป็นราคาขาดทุนก็เป็นได้ ฉะนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่มีสภาพคล่อง ก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่สำคัญ
  10. Event Risk
    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญต่อนโยบายในการดำเนินงานของผู้ออกตราสารหนี้ เช่น การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลังจากการถือครอบงำกิจการ และอาจมีดุลพินิจที่ไม่เป็นคุณแก่เจ้าหนี้ตราสารหนี้เดิม เช่น การประกาศเพิ่มอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลต่อกำไร (payout ratio) หรือ ประกาศเพิ่มทุนครั้งใหญ่ ซึ่งหมายถึง กระแสเงินสดจำนวนมากที่จะต้องจ่ายเป็นเงินปันผลประจำปี และมีผลทำให้ฐานทุนของบริษัทลดความเข้มแข็งลง
  11. ตัวอย่างของตราสารหนี้ และ ความเสี่ยงในตราสารหนี้แต่ละประเภท
    ประเภทของตราสารหนี้ความเสี่ยงที่มี
    ตั๋วเงินคลังrollover risk ในระหว่างดอกเบี้ยขาลง
    reinvestment risk ในระหว่างดอกเบี้ยขาลง
    พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวinterest rate risk ในระหว่างดอกเบี้ยขาขึ้น
    reinvestment risk ในระหว่างดอกเบี้ยขาลง
    purchasing power risk ในระหว่างดอกเบี้ยขาขึ้น
    หุ้นกู้บริษัทcredit risk จะมากน้อยขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงิน
    liquidity risk ถ้าเป็น issue เล็กและมีผู้ลงทุนน้อย
    interest rate risk ยกเว้นประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate)
    event risk ในกรณีถูกครอบงำกิจการหรือถูกควบรวมกิจการ
    call risk หรือ prepayment risk หากไม่มีข้อห้ามในสัญญาข้อผูกพัน

    วิธีลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่ดีวิธีหนึ่ง ก็คือ การกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมเช่น
    • การกระจายการลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจหลายประเภท
    • เลือกลงทุนในหลายหลักทรัพย์ (ควรมากกว่า 15 หลักทรัพย์) ที่มีความแตกต่างกัน
    • หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ ที่อาจจะมีผลประกอบการต่ำกว่า (underperform) อุตสาหกรรมหรือธุรกิจอื่น
    • หลีกเลี่ยงหลักทรัพย์ ที่อาจจะมีผลประกอบการ หรือสร้างผลตอบแทนต่ำกว่า (underperform) หลักทรัพย์อื่น
    • เน้นการลงทุนระยะยาว ควรกำหนดระยะเวลาในการลงทุนที่แน่นอน ไม่ตื่นตระหนก หากมีความผันผวนในระยะสั้น
    • ไม่ลงทุนแบบเก็งกำไรระยะสั้น ๆ
    • ไม่ซื้อขายบ่อย เพราะการซื้อขายในแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นเสมอ
ขอบคุณที่มาจาก :  http://www.thaimutualfund.com/






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น