ฝันที่เป็นจริงได้ "เงินเก็บ 1 ล้านบาท" ใครก็ทำได้

หลายๆ คนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “อยากมีเงินล้านบาทจะต้องทำยังไงดี” ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คงแตกต่างกันไปตามลักษณะการหาได้มาของแต่ละคน เช่น เก็บหอมรอมริบจากเงินเดือน ทำธุรกิจส่วนตัว ลงทุนในหุ้น หรือแม้กระทั่งเสี่ยงโชคด้วยการหวังถูกรางวัลลอตเตอรี่หรือสลากออมสิน แต่ถ้าเป็นคนประเภทที่เรียกว่ามีข้อจำกัดเยอะ เช่น ไม่ได้ชำนาญถึงขึ้นเล่นหุ้นได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่มีกิจการเป็นของตัวเอง และไม่ค่อยมีโชคลาภแบบคนอื่นๆ หนทางที่จะช่วยให้ไปถึงฝันการมีเงินล้านได้สำเร็จคงหนีไม่พ้นจากการทุ่มเทแรงใจแรงกายในการทำงานนี่เอง แต่อยากจะบอกว่าขยันหารายได้ ขยันทำงาน ขยันเก็บเงิน นี่แหละเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ไปถึงการเป็น “เศรษฐีเงินล้าน” ได้เช่นกันค่ะ ส่วนจะไปถึงช้าเร็วอย่างไรนั้น บทความนี้มีเทคนิคไม่ลับที่ช่วยให้เงินงอกเงยเป็นล้านมาบอกค่ะ

ประการแรก รู้จักออมเงิน

ข้อนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมากๆ สำหรับคนที่มีเป้าหมายออมเงินให้ได้ล้าน ก่อนอื่นแนะนำให้ตั้งเป้าง่ายๆ ก่อน เช่น ออมเงินให้ได้ 10% ของรายได้แต่ละเดือน ถ้าเราได้เงินเดือนๆ ละ 25,000 บาท ก็ควรทำการออมอย่างน้อยเดือนละ 2,500 บาท ถ้ากลัวว่าจะทำไม่ได้ก็ให้ใช้วิธี ออมก่อนใช้ทีหลัง คือพอได้รายได้มาเท่าไหร่ก็เก็บไว้เลยค่ะ ส่วนที่เหลือจากการเก็บก็ค่อยเอาใปใช้จ่าย ใช้แล้วเหลือเท่าไหร่ก็เก็บอีก ได้มากกว่า 10% ก็เรียกว่าเราได้กำไรแล้วค่ะ ถ้าทำได้ถึงเป้าแบบเริ่มอยู่ตัวแล้ว ก็ให้ลองตั้งเป้าหมายที่ท้าทายขึ้นไปอีก เช่น 15% หรือ 20% ของรายได้แต่ละเดือน แต่ขอบอกว่าก็ต้องเดินทางสายกลางด้วยนะคะ ครั้นจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตลอดหรือไม่ใช้จ่ายอะไรที่จำเป็นเลย คงไม่ดีกับชีวิตแน่ะ ไปท่องเที่ยวผ่อนคลายบ้าง เพียงแต่รู้จักใช้จ่ายให้เหมาะสมน่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดค่ะ 

ประการที่สอง รู้จักลงทุน

ออมเงินได้เป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่เราคงจะหวังเพียงฝากเงินออมทรัพย์หรือฝากประจำกับธนาคารคงไม่เหมาะแน่ ก็ผลตอบแทนที่ได้รับอยู่ที่ 0.5% ถึง 2.5% ต่อปี (แถมมีภาษี ณ ที่จ่ายอีก 15%) ไม่น่าจะทำให้เงินงอกเงยเร็วทันใจเท่าไหร่ ที่สำคัญยังต้องเจอกับศัตรูตัวฉกาจที่คอยบั่นทอนมูลค่าเงินออมของเราอีก ศัตรูที่ว่าก็คือ อัตราเงินเฟ้อ นี่เอง เจ้าเงินเฟ้อนี้หมายความว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่าก๋วยเตี๋ยว ค่ากาแฟที่เราซื้อในปีนี้แพงกว่าปีที่แล้ว และปีหน้าก็จะแพงกว่าปีนี้ เงินเฟ้อโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ถึง 4% ถ้าเราฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ก็แปลว่าท้ายที่สุดแล้วตอนเราถอนเงินออกมาใช้จะเอาไปใช้จ่ายได้น้อยลง หรือที่เรียกกันว่า “กำลังซื้อ” ลดลงนั่นเองค่ะ ดังนั้น จะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าลองเปลี่ยนจากการพึ่งพอดอกเบี้ยเงินฝากอย่างเดียวมาเป็นหาผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย เพื่อทำให้เงินที่มีอยู่นั้นงอกเงยเร็วขึ้น

            การลงทุนมีอยู่หลากหลายตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปถึงความเสี่ยงสูง ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ขอแนะนำให้เรารู้จักตนเองก่อนว่ารับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากหรือน้อย อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ถ้าเราลงทุนความเสี่ยงสูงเกินไป ก็จะทำให้เราลงทุนได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ตอนราคาร่วงลงแรงๆ ก็จะเกิดอาการหวาดหวั่นและขายขาดทุนออกมา แต่ถ้ารับความเสี่ยงต่ำเกินไป ก็จะทำให้เราเสียโอกาสที่จะเลือกลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้นและไปถึงเป้าหมายของเราได้เร็วขึ้นค่ะ พูดง่ายๆ คือก็ต้องเลือกระหว่าง กินได้กับนอนหลับดี (eat well or sleep well) อันแรกคือเราเรารับความเสี่ยงสูง ได้ผลตอบแทนเยอะแต่ต้องกังวลใจ กับอันหลังคือเรารับความเสี่ยงต่ำ นอนหลับสบายแต่ผลตอบแทนก็ค่อยเป็นค่อยไป

            จะรู้ได้อย่างไรว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน แนะนำให้ลองทำ แบบทดสอบความเสี่ยง ค่ะ บริษัทจัดการลงทุนหลายแห่งรวมทั้งธนาคารเองมักจะมีแบบทดสอบความเสี่ยงไว้ให้ลองใช้ หรืออาจจะเข้าเว็บไซต์ที่ต่างๆ หรือเว็บไซต์ต่างประเทศแล้วลองทำดูเล่นๆ ก็ได้ค่ะ อย่างไรก็ดี แนะนำคร่าวๆ ได้ว่าเราสามารถพิจารณาความเสี่ยงจากปัจจัยส่วนตัวของเราได้ดังนี้ค่ะ

ปัจจัย	รับความเสี่ยงได้สูง	รับความเสี่ยงได้ต่ำ
อายุ	อายุน้อย	อายุมาก
ฐานะทางการเงินส่วนตัว	ความมั่งคั่งสูง	ความมั่งคั่งต่ำ
ประเภทของรายได้	มีรายได้สม่ำเสมอ	รายได้ไม่แน่นอน
ภาระหนี้สิน	ภาระน้อย	ภาระมาก
ระยะเวลาที่ลงทุนได้	ระยะยาว	ระยะสั้น
พฤติกรรมส่วนบุคคล	ไม่ค่อยขี้ตกใจ	กังวลง่าย

 ประการที่สาม รู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

เมื่อรู้ว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหนแล้ว ลำดับถัดมาคือนำเงินบางส่วนไปลงทุนค่ะ ก่อนอื่นแนะนำว่าควรมีเงินในบัญชีออมทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น) ประมาณ 3 ถึง 6 เท่าของรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือน ซึ่งเรียกว่าเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน หรือemergency fund ค่ะ ส่วนที่เราออมแล้วเกินกว่านั้นก็ให้เอาไปลงทุนให้ผลตอบแทนงอกเงยซะ

จะลงทุนให้ดีก็ต้องรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ลงทุนได้นั้นมีอะไรบ้าง ขอเกริ่นคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ

§         กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (money market funds) เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ ตราสารหนี้เอกชนที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี ข้อดีของกองทุนนี้มีความเสี่ยงต่ำมาก เหมาะสำหรับใช้เป็นสภาพคล่องยามฉุกเฉิน หรือองค์ประกอบส่วนใหญ่ของผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย กองทุนนี้ปัจจุบันให้ผลตอบแทนประมาณ 1.3% ถึง 1.5% ต่อปี

§         กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย (balanced funds) เป็นกองทุนรวมที่แบ่งเงินไปลงทุนทั้งในตราสารหนี้ระยะสั้น พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว หุ้น ตามสัดส่วนต่างกันไป ซึ่งผลตอบแทนก็จะหลากหลายตามแต่นโยบายที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนการลงทุน กองทุนนี้เหมาะกับผู้รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูง

§         กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น (equity funds) เป็นกองทุนรวมที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ในทางปฏิบัติอยู่ที่ประมาณ 90% (ในทางทฤษฎีหรือที่เขียนในหนังสือชี้ชวนอยู่ที่ 65%) มีทั้งแบบที่ให้ผลกำไรขาดทุนตามดัชนีหุ้น พวกนี้เรียกว่าเป็นequity index funds และปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนรวมบริหารจัดการ โดยที่ผู้ลงทุนให้ความไว้วางใจ พวกนี้เรียกว่าเป็น active equity funds

§         หุ้น (stock) คือการเลือกลงทุนเองในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งผู้สนใจก็เลือกลงทุนได้ทั้งลงทุนเองโดยเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอยู่อย่างหลากหลาย การลงทุนนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการศึกษาเองเลือกหุ้นเองตามใจชอบ แต่ความเสี่ยงก็ค่อนข้างสูงเพราะเหมือนเราเอาเงินไปพึ่งพิงกับราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงของหุ้นไม่กี่ตัว ส่วนใครชอบลงทุนหุ้นเอง แต่อยากซื้อทั้งตลาดก็มีทางเลือกคือ การลงทุนในอีทีเอฟ (Exchange Traded Funds-  ETF) ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับการซื้อหุ้นทั้งตลาดด้วยการลงทุนเพียงครั้งเดียว ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th

§         นอกจากนี้ ก็มีการลงทุนรูปแบบอื่นที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น ทองคำ กองทุนทองคำ กองทุนน้ำมัน หรือแม้กระทั่งอนุพันธ์ต่างๆ (ศึกษาได้ที่ www.tfex.co.th)แต่เหมาะกับผู้ที่เริ่มชำนาญการลงทุนมากขึ้นค่ะ

โดยรวมแล้ว ถ้ารับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำเป็นการฝากเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น พันธบัตรรัฐบาล ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง แนะนำเป็นการลงทุนในหุ้น กองทุนรวมหุ้น ทองคำ เป็นต้น ส่วนถ้าเป็นแบบกลางๆ ก็ให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงกับความเสี่ยงต่ำค่ะ ทั้งนี้ ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนการเงินของธนาคารกสิกรไทยได้ค่ะว่าควรเลือกผลิตภัณฑ์อะไรถึงจะเหมาะกับตัวเรา บอกมาด้วยนะคะว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหนแล้ววางแผนว่าจะลงทุนนานเท่าไหร่
อีเมล์มาที่ K-Expert@kasikornbank.com ค่ะ

ออมเท่าไหร่ถึงจะได้ล้าน

ท้ายสุดนี้เราลองทำตัวเลขมาให้ดูค่ะ ตารางด้านล่างนี้ช่วยคำนวณว่าเราจะออมเงินขึ้นเป็นหนึ่งล้านบาทได้อย่างไร เช่น ถ้าเรามีความสามารถในการออมต่อเดือนอยู่ที่ 7,800 บาท ความเป็นไปได้คือเราต้องออมเงินเป็นเวลา 8 ปีและเลือกลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอที่ระดับ 7% ต่อปี แต่ถ้าเราเพิ่มการออมได้เป็นเดือนละ 14,000 บาท เราก็จะสามารถออมให้เป็นล้านได้ภายในเวลา 5 ปี เป็นต้น

ตารางนี้ยังช่วยเราดูได้อีกมุมหนึ่งได้คือมองที่เงื่อนไขแล้วแปลออกมาเป็นเป้าหมายเงินออมของเรา เช่น ถ้าเราเลือกออมเงินเป็นล้านภายใน 3 ปี แต่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำซึ่งจะเลือกลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 3% ต่อปีนั้น ก็ต้องออมเงินจำนวน 26,600 บาทต่อเดือนค่ะ

จำนวนปีที่ออม	อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง (ต่อปี)
	3%	5%	7%	10%
3	26,600	26,000	25,100	24,000
5	15,500	14,800	14,000	13,000
8	9,300	8,500	8,000	7,000
10	7,500	6,500	6,000	4,900
15	4,500	4,000	3,200	2,500

            เมื่อคุณ “รู้จักออมเงิน รู้จักลงทุน และรู้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม” และทำสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำจนกลายเป็นวินัยทางการเงิน คุณก็มีแนวโน้มเป็นบรรลุเป้าหมายหนึ่งล้านบาทแรกได้ไม่ยากค่ะ แต่สิ่งสำคัญคือการมีวินัยในการลงทุนและรู้จักลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ นอกจากนี้ ก็ต้องติดตามการลงทุนและหมั่นศึกษาการลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะเพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวังคือให้กำไรกับเราได้เสมอไป และที่สำคัญที่สุดคือต้องรู้จักเดินทางสายกลาง เก็บออมตามความเหมาะสม ใช้จ่ายตามความเหมาะสมด้วยนะคะ

โดย : มัลลิกา ศุภธรรมวิทย์ และ ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์ ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล  ธนาคารกสิกรไทย

ข้อมูลจาก : http://k-expert.askkbank.com/Article/Pages/A1_002.aspx