จตุพล สิงห์โต ทายาทบริษัท เอส.พี. สระบุรี คอนสตรัคชั่น จำกัด (S.P. Saraburi Construction Co., Ltd.) ผู้ให้บริการ รับเหมาก่อสร้างอาคารสำนักงาน โรงงานและงานก่อสร้างต่างๆ ในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี
จตุพลเข้ารับช่วงกิจการตั้งแต่อายุแค่ 28 ปีเขาเล่าว่า เอส.พี. สระบุรี คอนสตรัคชั่น ไม่มีปัญหาเรื่องของเงินทุนหมุนเวียนเพราะยังเป็นองค์กรขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีช่างฝีมือจำนวนไม่มาก ดังนั้นเมื่อบริษัทมีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาก็จะใช้วิธีรับจ้างช่างฝีมือและแรงงาน ท้องถิ่นอิสระเข้ามาช่วยงานเป็นครั้งคราวไป
แต่ปัญหาความท้าทายที่จตุพลพบอยู่บ่อยๆ ก็คือ วันนี้เริ่มจะมีการขาดแคลนแรงงานและช่างฝีมือเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะคนรุ่นใหม่ๆ ไม่นิยมที่จะฝึกทักษะทางด้านงานช่างก่อสร้าง แต่หันไปทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า และที่สำคัญก็คือที่จังหวัดสระบุรีมีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมากให้เลือกทำงาน ดังนั้นจตุพลจึงมองว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายเล็กๆ ที่ไม่มีคนงานประจำเป็นของตัวเองจำนวนมากๆ นับวันจะตีบตันมากขึ้น และในส่วนตัวก็ไม่ต้องการที่จะขยาย บริษัทให้ใหญ่เข้าไว้โดยจ้างคนจำนวนมากๆ แต่ไม่ดูตลาดและขาดการระมัดระวังในการลงทุน
ดร.พัลลภา ปิติสันต์ ประธานสาขาการจัดการธุรกิจ (business management) วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แสดงมุมมองถึงกรณีศึกษาในปัญหาและมุมมองของกำนันหนุ่มจากสระบุรีผู้นี้ว่า
กระบวนการและมุมมองที่พยายามมองหาโอกาส และพัฒนาสินค้าบริการใหม่ๆ ให้กับกิจการครอบครัวนอกเหนือจากธุรกิจหลัก คือ รับเหมาก่อสร้างนั้นเป็นแนวคิดการบริหารจัดการรุ่นใหม่ที่ต้องการขยายโอกาสและลดความเสี่ยงหากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมีปัญหา ไม่ว่าจะมาจากปัญหาภายในหรือภายนอก ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ ทั่วไปก็นิยมที่จะกระจายความเสี่ยงและมองหาลู่ทางการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก ผู้ประกอบการที่บริหารและกระจายความเสี่ยงใน รูปแบบดังกล่าวอยากจะแนะนำให้ใช้โมเดล BCG คือการจัดกลุ่มสินค้าว่าคือกลุ่มมีปัญหา (DOG), กลุ่มทำเงิน น้ำซึมบ่อทราย (cash oow), กลุ่มดาวรุ่ง (star) หรือกลุ่มที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาลูกผีลูกคน (question mark) ควบคู่ไปด้วยเพื่อเป็นกรอบทฤษฎีในการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ หรือกิจการที่มีอยู่ในมือว่าควรจะลงทุนต่อไปเพราะคืออนาคต หรือเป็นธุรกิจที่ควรรักษาเอาไว้ เป็นช่วงเก็บเกี่ยวแต่จะไม่ลงเงินเพิ่มหรือควรทิ้งไป
สำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เอส.พี. สระบุรี คอนสตรัคชั่น ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของจตุพลนั้น ดร.พัลลภามองว่าไม่ใช่กิจการที่มีปัญหาหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงแต่อย่างใด เพราะประการแรก คือมีงาน เข้ามาเรื่อยๆ ประการที่ 2 คือบริษัทไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเงินทุนหมุนเวียน ประการที่ 3 คือจากการที่จตุพลได้รับความไว้วางใจจากชุมชนให้รับตำแหน่งกำนัน นับว่าเป็นข้อได้เปรียบในการช่วยส่งให้ตัวของบริษัทมีชื่อเสียงและความเชื่อถือค่อนข้างมาก บวกกับเป็นบริษัทที่อยู่มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ และประการที่ 4 คือเป็นกิจการที่อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยว หรือ cash cow หากมีการบริหารจัดการที่ดีก็จะยังคงเป็นธุรกิจที่ทำเงินให้กับครอบครัวได้อีกนานเท่านาน หรือมีโอกาสพัฒนาเป็นองค์กรที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ดร.พัลลภามีข้อแนะนำสำหรับการแก้ปัญหาตัวโครงการที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า ของบริษัท ว่า ประการแรก อาจจะมีการวางแผนและตั้งเป้าหมายว่าในปีนั้นๆ บริษัทจะต้องมีลูกค้ากี่ราย จะต้องมีเงินเข้ามาในบริษัทเท่าไร เมื่อสามารถประเมินรายรับได้ก็สามารถที่จะตั้งเป้าการลงทุนทั้งเรื่องบุคลากรหรือเรื่องอื่นๆ ได้ และยังจะทำให้บริษัทสามารถสร้างเส้นทางการเติบโตจากที่เป็นอยู่อย่างระมัดระวังได้ด้วย
อีกประการหนึ่ง การสร้างฐานพันธมิตรเช่นบริษัทที่ขายวัตถุดิบทางด้านก่อสร้างหรือช่างฝีมือที่ทำอาชีพอิสระ ก็อาจจะเป็นอีกแนวทางในการแก้ปัญหาแรงงานฝีมือขาดแคลนได้อีกทางหนึ่งด้วย
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4051
ข้อมูลจากเวบ : http://inside.cm.mahidol.ac.th/bm/index.php/bm-on-stages/54-2009-04-23-04-25-42
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น