วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กระจายความเสี่ยง ... หลักสำคัญในการลงทุน

กระจายความเสี่ยง ... หลักสำคัญในการลงทุน

“อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน – Don’t put all your eggs in one basket” เป็นหนึ่งในหลักการลงทุนเบื้องต้นที่นักลงทุนทุกคนคงจะเคยได้ยิน
ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่ต้องพิจารณาในการตัดสินใจลงทุน คือการกระจายความเสี่ยง โดยเปรียบไข่เป็นเงินลงทุนของเรา การกระจายด้วยการนำไข่ไปใส่ในหลายๆ
ตะกร้า ก็เปรียบเสมือนกับการนำเงินลงทุน กระจายไปในการลงทุนหลายๆรูปแบบ เช่นหุ้น ตราสารหนี้ เงินฝาก เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันกับตะกร้า
ใบใดใบหนึ่ง อย่างน้อย เราก็ยังมีตะกร้าใบอื่นๆเหลืออยู่ เช่นเดียวกับการลงทุน ที่แม้ว่าการลงทุนบางอย่าง เช่นหุ้น ที่ในช่วงภาวะตลาดและเศรษฐกิจ
ที่เติบโตดีมักจะมีแนวโน้มได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ แต่เราก็ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในหุ้น เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันกับหุ้น
ไม่ว่าจะจากตัวหุ้นเองหรือภาวะตลาดและเศรษฐกิจที่พลิกผัน อย่างน้อย ผลกระทบที่คาดไม่ถึงก็จะถูกผ่อนหนักเป็นเบา และ ไม่เดือดร้อนจนเกินไป

โดยหลักการนี้ หากพิจารณาว่าตะกร้าแต่ละใบ คือสินทรัพย์แต่ละประเภท เช่น ตะกร้าหุ้น ตะกร้าตราสารหนี้ ตะกร้าสินค้าโภคภัณฑ์ หลักการกระจายความเสี่ยง
ในเบื้องต้น คือ การกระจายน้ำหนักการลงทุนให้กับตะกร้าแต่ละใบตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากยอมรับความเสี่ยงได้สูง ขนาดตะกร้า หรือขนาดเงิน
ที่จะลงทุน ก็อาจจะลงไปในตะกร้าหุ้นมากหน่อย แต่หากยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ ขนาดตะกร้าที่จะใหญ่ ก็อาจจะเป็นตะกร้าตราสารหนี้ เป็นต้น
นอกจากที่เราจะกระจายความเสี่ยงตามขนาดตะกร้าแล้ว ในแต่ละตะกร้า ก็ควรจะมีการกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมด้วยเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น
ตะกร้าหุ้น ก็ควรมีการลงทุนในหุ้นหลายๆบริษัท กระจายตามหมวดอุตสาหกรรมต่างๆ ในขณะที่ตะกร้าตราสารหนี้ ก็ควรจะมีการกระจายการลงทุน
ในตราสารหนี้ หรือเงินฝากของหลายบริษัท หรือหลายธนาคาร รวมไปถึงตะกร้าของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็ควรมีการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
หลายๆแห่ง หรือหลายประเภท เป็นต้น

ในแง่ของผู้ลงทุนทั่วไป การกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลากหลายตัว ตราสารหนี้ที่ออกโดยหลากหลายบริษัท หรือเงินฝากกับหลากหลายสถาบันการเงิน
อาจจะเป็นเรื่องยาก หากมีจำนวนเงินลงทุนไม่มากนัก การลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งจะมีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นหลากหลายตัว หรือตราสารหนี้
หลากหลายบริษัท จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไร ว่ากองทุนที่เราลงทุนไปนั้น มีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสมแล้วจริงๆ

ในกลุ่มประเทศที่ธุรกิจด้านการจัดการกองทุนมีการพัฒนา และได้รับการยอมรับทั่วโลก เช่นในกลุ่มประเทศยุโรป ได้ให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง
ค่อนข้างมาก โดยได้มีการออกกฎระเบียบที่ใช้บังคับกองทุนที่จดทะเบียนและขายให้กับคนหมู่มากในกลุ่มประเทศยุโรป เรียกว่ากฎเกณฑ์ UCITS
(Undertakings for Collective Investments in Transferrable Securities) เพื่อเป็นการปกป้องดูแลผู้ลงทุนโดยเฉพาะผู้ลงทุนรายย่อยด้วยการการวางกรอบ
กำกับการจัดการลงทุน โดยหลักข้อหนึ่งของ UCITS คือการป้องกันการกระจุกตัวของเงินลงทุนไปในหุ้นหรือตราสารที่ออกโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่งมาก
จนเกินไป โดยได้กำหนดว่า ห้ามมิให้กองทุนมีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ออกโดยผู้ออกตราสารรายใดรายหนึ่งเกินกว่า 5% ของมูลค่ากองทุน แต่หากจะเกิน
ก็จะถูกกำหนดให้ได้ไม่เกิน 10% แต่ทั้งนี้ หลักทรัพย์ใดๆที่มีน้ำหนักเกิน 5% เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้ว จะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 40% ของมูลค่ากองทุน
สามารถอธิบายได้ตามตัวอย่างของกองทุน 3 กอง ดังต่อไปนี้
หุ้นที่กองทุนลงทุน
สัดส่วนของหุ้น 5 ตัวแรกในแต่ละกองทุน
กองทุนหมายเลข1
กองทุนหมายเลข2
กองทุนหมายเลข3
A
4.9%
9.8%
9.9%
B
4.8%
8.1%
9.8%
C
4.4%
6.3%
9.7%
D
3.9%
4.2%
9.6%
E
3.3%
3.1%
9.5%
น้ำหนักรวมของหุ้น 5 ตัวแรก
21.30%
31.50%
48.5%
น้ำหนักรวมของหุ้นที่เกิน 5%
0%
24.20%
48.5%
จะเห็นได้ว่า กองทุนหมายเลข 1 มีการปฏิบัติตามกฎของ UCITS เนื่องจากในพอร์ตการลงทุน ไม่มีหุ้นใดๆ มีน้ำหนักเกิน 5% ของเงินลงทุน ในขณะที่กองทุน
หมายเลข 2 แม้จะมีหุ้นบางตัวที่มีน้ำหนักเกิน 5% แต่ก็ไม่เกิน 10% และเมื่อรวมน้ำหนักของหุ้นที่เกิน 5% เข้าด้วยกันแล้ว (A, B และ C) ก็มีน้ำหนักรวมกัน
แค่ 24.2% ซึ่งไม่เกิน 40% ตามเกณฑ์ที่ UCITS ตั้งไว้ ขณะที่กองทุนหมายเลข 3 แม้ว่าจะไม่มีหุ้นตัวใดน้ำหนักเกิน 10% แต่เมื่อรวมน้ำหนักหุ้นที่เกิน 5%
เข้าด้วยกันแล้ว (A, B, C, D และ E) กลับมีน้ำหนักรวมถึงกว่า 48% ซึ่งเกินเกณฑ์ที่ UCITS กำหนดไว้ ดังนั้น กองทุนหมายเลข 3 จึงไม่ผ่านเกณฑ์ UCITS
ทำให้ไม่สามารถจดทะเบียนและการเสนอขายในกลุ่มประเทศยุโรปได้ เนื่องจากมีความเสี่ยง ต่อการกระจุกตัวของหุ้นเกินเกณฑ์ที่กำหนดต่อผู้ลงทุน
ในขณะที่กองทุนหมายเลข 1 และ 2 มีการปฏิบัติตามเกณฑ์ UCITS จึงได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล และสามารถเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไปใน
ภูมิภาคยุโรป หรือทั่วโลกได้ เนื่องจากกฎเกณฑ์ของ UCITS แม้ว่าจะใช้บังคับกับกองทุนที่มีการจดทะเบียนเสนอขายในยุโรป แต่ก็ถือเป็นมาตรฐาน
การจัดการกองทุนที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

จากผลการศึกษาของ Morningstar โดยใช้ข้อมูลจริงของตลาดหุ้นสหรัฐฯตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 – 2553 พบว่า ความเสี่ยง หรือความผันผวนในการลงทุนของ
พอร์ทการลงทุน จะมีแนวโน้มลดลงเมื่อมีการเพิ่มจำนวนหุ้นเข้าไปในพอร์ต หรืออาจกล่าวได้ว่า ยิ่งมีจำนวนหุ้นมากขึ้น ก็จะทำให้ความผันผวนในการลงทุน
ลดลงแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่า ยิ่งมีหุ้นจำนวนมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้นเท่านั้น เพราะ เมื่อมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นถึง
จุดๆหนึ่งแล้ว เมื่อเพิ่มจำนวนหุ้นเข้าไปอีก ก็ไม่ได้ช่วยให้มีความผันผวนลดลงแต่อย่างใด การเพิ่มขึ้นเข้าไปเพื่อกระจายความเสี่ยงมากจนเกินความจำเป็น
อาจจะกลายเป็นผลร้ายก็ได้ หากมีหุ้นมากจนเกินกว่าจะสามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด เนื่องจากยิ่งมีจำนวนหุ้นมากขึ้น ก็ต้องมีเวลาติดตาม และศึกษาหุ้นมาก
ขึ้น อาจจะทำให้มีการมองข้าม หรือละเลยหุ้นบางตัวไป และอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อการลงทุนได้มากกว่าการมีหุ้นเพียงไม่กี่ตัวก็ได้ อย่างไรก็ดี จากผลของ
การศึกษา ยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า จำนวนหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการกระจายการลงทุนจะต้องมีจำนวนเท่าใด เพราะขึ้นอยู่กับขนาดลักษณะการกระจายน้ำหนัก
และ จำนวนหุ้นของตลาดในแต่ละภูมิภาค รวมถึงแต่ละช่วงเวลาด้วย


กราฟแสดงความผันผวนของผลตอบแทนส่วนเกินจากตลาด (Excess Return)
เปรียบเทียบกับจำนวนหุ้นที่ลงทุนในช่วงปี 2522 – 2539 (1979-1996) และ 2540 – 2553 (1997 – 2010)
ที่มา: morningstar

นอกเหนือจากการกระจายการลงทุนในหุ้นหลากหลายตัวแล้ว การพิจารณากระจายความเสี่ยงออกไปในหลากหลายอุตสาหกรรม ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยทั่วไปมักจะมีการเคลื่อนไหวของราคาไปในทิศทางเดียวกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อระดับราคาน้ำมันในตลาด
โลกปรับตัวลดลง หุ้นในกลุ่มพลังงานก็มักจะปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกัน หากกระจุกการลงทุนไปในอุตสาหกรรมใดเพียงอย่างเดียว แม้ในภาวะที่มี
ปัจจัยบวกต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว จะส่งผลดีให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปได้ แต่ในภาวะที่เกิดปัจจัยลบต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว ก็จะทำให้มีความเสี่ยงมากด้วย
เช่นกัน ดังนั้น นอกจากจะมีการกระจายในหุ้นหลายๆตัวแล้ว ก็ควรที่จะมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมด้วย หลักการเดียวกันก็สามารถ
นำมาใช้ในการกระจายการลงทุนระหว่างประเทศในระดับภูมิภาคด้วย

โดยสรุป ในการพิจารณาเลือกการลงทุนในกองทุนรวม นอกจากจะพิจารณาในเรื่องของผลการดำเนินงานแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญก็คือ
การกระจุกตัวของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวว่ามีมากเกินไปหรือไม่  ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจมีข้อยกเว้นกรณีที่นโยบายของกองทุนมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าไว้อย่าง
ชัดเจน เช่น กองทุนระบุว่าจะเน้นลงทุนหุ้นกลุ่มการเงิน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีน้ำหนักในหุ้นกลุ่มการเงินเป็นหลัก แต่ผู้ลงทุน ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงจาก
การกระจุกตัวที่เพิ่มขึ้นด้วยว่าเหมาะสมกับตนเองหรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดของการลงทุนได้จากเอกสารสรุปข้อมูลรายเดือน
(Fund Factsheet) ของกองทุนแต่ละกอง ซึ่งจะมีการระบุสัดส่วนหุ้น และอุตสาหกรรมขั้นต่ำ 5 อันดับแรกของแต่ละกองทุน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบใน
การตัดสินใจเบื้องต้น นอกจากนี้ ยังสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานประจำปีซึ่งจะมีการเปิดเผยพอร์ทการลงทุนในหุ้นทุกตัวเป็นประจำทุก 6 เดือน
และ 1 ปี

คำเตือน• การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล คู่มือภาษีและหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน


ข้อมูลที่มา http://www.kasikornasset.com/TH/MarketUpdate/Pages/21032013.aspx
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น